1. ช่วยตกแต่งพื้นที่ใช้งานภายใน ให้โดดเด่นสวยงามด้วยกระเบื้องพื้น พอซเลนที่มีความทนทาน
2. วัสดุผลิตจากเซรามิกคุณภาพดี เนื้อกระเบื้องทนทาน และไม่เปราะแตกง่าย
3. อายุการใช้งานยาวนาน
4. ทนทานต่อการขีดข่วน
5. รองรับน้ำหนักได้ดีด้วยเนื้อกระเบื้องพอร์ซเลนคุณภาพ
6. ดูแลรักษาและทำความสะอาดได้ง่าย
7. มาพร้อมลวดลายมีเอกลักษณ์ มีความสวยงาม ผิวหน้ามันเงา  เหมาะสำหรับปูพื้นตกแต่งภายในอาคาร เช่น  ห้องรับแขก และห้องครัว  ห้องนอน ทำให้ดูน่าอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น

กระเบื้องพอร์ซเลน (Porcelain Tile)  คือ กระเบื้องเซรามิกชนิดพิเศษที่ผลิตจากดินพอร์ซเลนและแร่ธาตุอื่นๆ โดยนำไปเผาในอุณหภูมิสูงกว่า 1,300 องศาเซลเซียส ทำให้เนื้อกระเบื้องมีความแข็งแกร่ง ทนทานสูง ทนต่อการขูดขีดและแรงกระแทกได้ดี รับน้ำหนักได้มาก และไม่แตกง่าย กระเบื้องพอร์ซเลนมีความแข็งแรงมากกว่ากระเบื้องดินเผาทั่วไป นอกจากนี้ยังสามารถเคลือบผิวหน้า ลงสี และสร้างลวดลายบนผิวกระเบื้องได้ ทำให้มีความสวยงามและหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกสไตล์การตกแต่งบ้านและอาคาร
ข้อดีของกระเบื้องพอร์ซเลน
1. กระเบื้องพอร์ซเลน เป็นกระเบื้องที่ใช้ได้ทั้งงานปูพื้นและงานผนัง
2. กระเบื้องพอร์ซเลน มีความแข็งแกร่งสูง และมีเคลือบผิวทำให้ทำความสะอาดง่าย  
3. เนื้อกระเบื้องมีค่าการดูดซึมน้ำต่ำ ทำให้มีไม่เกิดคราบน้ำฝังลึกลงในเนื้อกระเบื้อง ช่วยป้องกันการเกิดคราบสกปรกและเชื้อรา
4. กระเบื้องพอร์ซเลน มีความทนทาน ทนต่อรอยขีดข่วนได้ดี และมีอายุการใช้งานยาวนาน 
5. กระเบื้องพอร์ซเลนสามารถใช้งานได้ทุกพื้นที่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำที่เปียกชื้น ห้องครัวที่ต้องเผชิญกับความร้อน หรือห้องนั่งเล่นที่มีการใช้งานบ่อยๆ
6. กระเบื้องพอร์ซเลนสามารถรับน้ำหนักได้มาก จึงเหมาะสมกับการวางเฟอร์นิเจอร์หนักๆ หรือเคาน์เตอร์ครัวได้อย่างสบาย
7. กระเบื้องพอร์ซเลนมีทั้งแบบเรียบๆ หรือแบบลายไม้ ลายหินอ่อน ให้คุณเลือกสไตล์ที่เข้ากับการตกแต่งบ้านได้อย่างลงตัว

การปูกระเบื้องให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและทนทานนั้นมีขั้นตอนสำคัญที่ควรปฏิบัติตาม ดังนี้:
1. เตรียมพื้นผิว
ทำความสะอาดพื้นผิว: ล้างสิ่งสกปรก ฝุ่น หรือน้ำมันที่อาจทำให้กระเบื้องยึดเกาะไม่ดี
ตรวจสอบความเรียบ: ถ้าพื้นไม่เรียบ ควรใช้ปูนปรับพื้นให้เรียบก่อน เพราะพื้นเรียบจะช่วยให้การปูกระเบื้องเป็นไปอย่างง่ายดายและกระเบื้องยึดแน่นขึ้น
2. วางแผนการจัดเรียงกระเบื้อง
วางแผนการวางกระเบื้อง: เริ่มจากการวางแผนว่าจะเริ่มจากจุดไหนเพื่อให้กระเบื้องดูสมมาตรและไม่ต้องตัดมาก
ใช้ไม้กั้นแนว (Spacer): เพื่อให้แนวกระเบื้องตรงตามที่ต้องการและเว้นร่องสำหรับยาแนว
3. เตรียมปูนกาว (Adhesive)
ผสมปูนกาว: ผสมปูนกาวให้เข้ากันดี และเลือกใช้ชนิดของปูนกาวที่เหมาะสมกับกระเบื้องและพื้นผิวที่ต้องการปู เช่น ปูนกาวสำหรับกระเบื้องขนาดใหญ่หรือกระเบื้องหินธรรมชาติ
ทาปูนกาว: ใช้เกรียงหวีในการทาปูนกาวบนพื้นผิวและหลังแผ่นกระเบื้องเพื่อให้กาวยึดเกาะแน่นหนาขึ้น
4. ติดตั้งกระเบื้อง
ติดกระเบื้องตามแผนที่วางไว้: กดกระเบื้องลงในปูนกาวให้แน่นเพื่อให้กระเบื้องยึดเกาะกับพื้นผิว
ปรับระดับ: ใช้เครื่องมือตรวจระดับหรือวัดด้วยสายตาและมือเพื่อให้กระเบื้องเรียบเสมอกัน
5. การยาแนว
รอให้ปูนกาวแห้งสนิท: ประมาณ 24 ชั่วโมงก่อนที่จะทำการยาแนว
ผสมยาแนวและอุดร่อง: ใช้เกรียงยาแนวทายาแนวลงในร่องกระเบื้อง โดยพยายามให้ยาแนวเข้าไปในร่องให้เต็ม
เช็ดทำความสะอาด: หลังจากทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ใช้ฟองน้ำหมาดเช็ดคราบยาแนวที่เกินออกบนพื้นผิวกระเบื้องให้สะอาด
6. การทำความสะอาดขั้นสุดท้าย
หลังจากยาแนวแห้งสนิท (ประมาณ 1-2 วัน) ให้ทำความสะอาดกระเบื้องอีกครั้ง และตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระเบื้องติดแน่น
เคล็ดลับ: ควรใช้วัสดุคุณภาพดีทั้งกระเบื้อง ปูนกาว และยาแนวเพื่อความทนทานในระยะยาว